* กดรับ Link นิยายรสแซ่บได้ที่ปกทุกปกเลยจ้าา *

niyayZAP Related E-Books Related E-Books Related E-Books Related E-Books Series E-Books niyayZAP Related E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books niyayZAP Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน niyayZAP Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books niyayZAP niyayZAP niyayZAP niyayZAP niyayZAP Related E-Books niyayZAP niyayZAP Related E-Books Series E-Books Series E-Books  Series E-Books

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

THE STRANGE ADVENTURES OF LITTLE MAIA : ไมอา นางฟ้าตัวจิ๋ว (by Andrew LANG)

 .⋆。♚˚ ไมอา นางฟ้าตัวจิ๋ว | THE STRANGE ADVENTURES OF LITTLE MAIA : นิทานก่อนนอน

THE STRANGE ADVENTURES OF LITTLE MAIA

♔ : ไมอา นางฟ้าตัวจิ๋ว : ♔


กาลครั้งหนึ่ง ยังมีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีกระท่อมและสวนสวยอยู่กลางป่า ตลอดฤดูร้อน เธอค่อนข้างมีความสุขในการดูแลดอกไม้และฟังเสียงนกร้องบนต้นไม้ แต่ในฤดูหนาว เมื่อหิมะตกบนพื้นและมีหมาป่าหอนจนเสียงพวกมันมาถึงหน้าประตู เธอรู้สึกโดดเดี่ยวและหวาดกลัวมาก

“ถ้าเพียงแค่ฉันมีลูกที่จะคุยด้วย ไม่ว่าจะเล็กแค่ไหน มันจะเป็นการปลอบโยน!” เธอพูดกับตัวเอง

และยิ่งหิมะตกหนักเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งพูดกับตัวเองซ้ำๆ จนในที่สุด วันหนึ่งก็มาถึงเมื่อเธอทนต่อความเงียบและความเหงาอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว และเธอก็ตัดสินใจออกเดินทางไปที่หมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด เพื่อจะขอให้ใครซักคนขายลูกหรือให้ยืมลูกมาให้เธอเลี้ยงดูบ้างสักคน

หิมะนั้นลึกมากและสูงถึงเหนือข้อเท้า และเธอต้องใช้เวลานานเกือบกว่าชั่วโมง เพียงเพื่อจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้สักแค่สองสามร้อยหลา

“มันก็จะมืดสนิทราวๆ นี้ก่อนที่ฉันจะไปถึงบ้านหลังแรก” เธอคิดและหยุดมอง 

ทันใดนั้น ผู้หญิงตัวเล็กสวมหมวกทรงแหลมสูงก็ก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ตรงหน้าเธอ

“นี่เป็นวันที่ย่ำแย่สำหรับการเดินทาง! คุณจะไปไกลไหม?” หญิงตัวเล็กถาม

“อืม, ฉันอยากไปที่หมู่บ้าน แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปที่นั่นได้อย่างไร” เธอตอบ

“งั้น ฉันขอถามหน่อยได้ไหมว่าธุระสำคัญอะไรที่นำพาคุณให้ต้องไปที่นั่น” ผู้หญิงตัวเล็กที่ใครดูก็รู้ว่าเป็นแม่มดถาม

“บ้านของฉันมันน่าเบื่อมาก ไม่มีใครพูดด้วย ฉันไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ และฉันกำลังหาเด็กสักคนมาเป็นลูก ฉันไม่สนหรอกว่าเธอจะตัวเล็กแค่ไหน เธอผู้ซึ่งจะเป็นเพื่อนให้ฉันได้”

“โอ้! ถ้าแค่นั้นคุณก็ไม่ต้องไปต่อแล้ว” แม่มดตอบพลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า “ดูนี่สิ นี่คือข้าวโพดบาร์เลย์ คุณควรจะจ่ายในราคาสิบสองเหรียญเงิน และถ้าคุณปลูกมันในกระถางดอกไม้และให้น้ำปริมาณมาก ในอีกไม่กี่วัน คุณจะเห็นบางสิ่งที่วิเศษ”

คำสัญญานี้ทำให้จิตใจของผู้หญิงคนนั้นมีชีวิตชีวา เธอยินดีจ่ายราคาให้ และทันทีที่เธอกลับถึงบ้าน เธอก็ขุดหลุมในกระถางดอกไม้แล้วใส่เมล็ดพืชลงไป

เธอรอเป็นเวลาสามวันโดยแทบไม่ละสายตาจากกระถางดอกไม้ในมุมอันอบอุ่น และในเช้า วันที่สาม เธอก็เห็นว่าขณะที่เธอหลับอยู่ แต่ดอกทิวลิปสีแดงต้นสูงก็ได้พุ่งทะยานขึ้นโดยมีใบไม้สีเขียวปกคลุม

“ช่างเป็นดอกไม้ที่สวยงามเสียนี่กระไร” หญิงผู้เงียบเหงาก้มลงจูบมัน ขณะที่ทำอย่างนั้น กลีบดอกไม้สีแดงก็แตกเป็นเสี่ยงๆ และท่ามกลางกลีบดอกพวกนั้น ก็มีหญิงสาวตัวน้อยที่น่ารัก และเธอก็สูงเพียงนิ้วเดียว .. เป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ นี้นั่งอยู่บนที่นอนสีม่วงและปกคลุมไปด้วยผ้าห่มของดอกกุหลาบ เธอลืมตาและยิ้มให้หญิงเจ้าของบ้านผู้เงียบเหงา ราวกับว่าเธอรู้จักผู้หญิงตรงหน้ามาตลอดชีวิต

“โอ้! คุณที่รัก; ฉันจะไม่เหงาอีกต่อไป!” เจ้าของกระท่อมหลังน้อยอุทานด้วยความปีติ; และเด็กสาวก็พยักหน้าแล้วพูดว่า:

“ไม่ แน่นอน คุณจะไม่เป็นแบบนั้น!”

ผู้หญิงคนนั้นไม่เสียเวลาในการเสาะหาเปลือกวอลนัทขนาดใหญ่ใกล้กันนั้น ซึ่งนางปูมันด้วยผ้าซาตินสีขาวอย่างหนา แล้ววางที่นอนในเปลือกลูกไม้ไว้ให้เด็กสาวที่เธอเรียกว่า 'ไมอา' 

นี่คือเตียงของสาวน้อยคนใหม่และมันจะถูกวางอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียงของแม่บุญธรรมของเธอที่กำลังนอนหลับอยู่ แต่ในเวลาเช้าทุกเช้า ไมอาก็จะถูกยกออกไปวางไว้บนใบไม้กลางอ่างน้ำขนาดใหญ่ และนางก็ให้ขนม้าสีขาวสองเส้นไว้สำหรับเป็นไม้พายของไมอา แล้วจากนั้น เธอก็นับเป็นเด็กสาวที่มีความสุขที่สุดที่ใครจะเคยเห็น และใช้เวลาทั้งวันร้องเพลงให้ตัวเองด้วยภาษาของเธอ ซึ่งไม่มีใครสามารถเข้าใจได้

เป็นเวลาหลายสัปดาห์ที่ทั้งสองแม่ลูกอาศัยอยู่ด้วยกัน และไม่มีท่าทีเบื่อหน่ายกันและกันในสังคมของพวกเธอ 

และแล้วเหตุร้ายก็เกิดขึ้น 

คืนหนึ่ง เมื่อแม่บุญธรรมหลับสนิทหลังจากทำงานหนักมาทั้งวัน กบตัวใหญ่น่าเกลียดน่าสยองได้กระโดดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ และยืนจ้องมองสาวน้อยไมอาที่กำลังหลับสบายอยู่ใต้ผ้าห่มดอกกุหลาบ

“โอ้! คุณที่รัก! นั่นเป็นหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่สวยมาก” กบคิดกับตัวเอง “เธอคงจะเป็นภรรยาที่ดีให้กับลูกชายของฉันได้” จากนั้นกบก็หยิบเปลวอลนัทขึ้นมาไว้ในปาก ก่อนจะกระโดดไปที่ริมลำธารที่ไหลผ่านสวน

“มาดูว่าเราเอาอะไรมาให้คุณ” แม่กบบอกบุตรชายเมื่อนางกลับมาถึงบ้านในโคลนบึง

“ครึก! ครึก! ครึก!” ลูกชายพูด มองดูหญิงสาวที่กำลังหลับด้วยความยินดี

“เงียบ; อย่าทำเสียงแบบนั้น ไม่งั้นเธอจะปลุกแม่เธอให้ตื่น!” แม่กบกระซิบ “ฉันหมายถึง ฉันวางแผนจะให้เธอมาเป็นภรรยาให้กับคุณ และในขณะที่เรากำลังเตรียมงานแต่งงาน เราจะวางเธอไว้บนใบบัวที่กลางลำธาร เพื่อที่เธอจะได้ไม่หนีไปจากเรา”

บนเรือนจำลอยน้ำสีเขียว ที่ไมอาตื่นขึ้นมาในเช้านี้ด้วยแสงแรกของดวงอาทิตย์ ซึ่งมันทำให้เธอทั้งตื่นตกใจและงุนงง สาวน้อยยืนตัวตรงบนใบไม้ พยายามมองหาทางหนีของเธอ แต่ไม่พบ เธอนั่งลงอีกครั้งและเริ่มร้องไห้และร้องไห้อย่างขมขื่น แม่กบเฒ่าได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของเธอ ซึ่งนางเองก็กำลังยุ่งอยู่ในบ้านของตนที่ก้นบึง กลิ้งตัว บิดไปบิดมาบนพรมเพื่อให้มันนุ่มสำหรับเท้าของไมอา และมัดต้นกกและเถาองุ่นไว้ที่ทางเข้าประตู เพื่อให้มันดูสวยงามสำหรับเจ้าสาว.

“อา! เด็กสาวที่น่าสงสาร รู้สึกท้อแท้และไม่มีความสุข” นางคิดอย่างนึกสงสารสำหรับจิตใจในส่วนดีที่มีอยู่ “อืม, ฉันเพิ่งทำเสร็จ จากนั้นลูกชายของฉันกับฉันจะไปหาเธอ เมื่อเธอเห็นว่าเขาหล่อแค่ไหน เธอก็จะมีรอยยิ้มอีกครั้ง” 

และในไม่กี่นาทีต่อมา ทั้งคู่ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างใบไม้

“นี่คือสามีในอนาคตของคุณ คุณเคยเห็นใครที่สง่างามเหมือนเขาไหม?” มารดาผู้จองหองถามและผลักเขาไปข้างหน้า แต่หลังจากเหลือบมองเพียงครั้งเดียวไมอาก็ยิ่งร้องไห้มากขึ้นเท่านั้น และฝูงปลาเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ในลำธารก็ว่ายไปมา เพื่อดูว่าเหตุการณ์มันเป็นอย่างไรบ้าง

“มันไร้สาระมากที่สิ่งมีชีวิตที่สวยงามเช่นนี้จะควรถูกบังคับให้รับสามีที่เธอไม่ต้องการ” พวกเขาพูดกัน “แล้วก็น่าเกลียดน่ากลัวเช่นกัน! อย่างไรก็ตาม เราป้องกันได้ไม่ยาก” จากนั้นชาวฝูงปลาที่มามุงก็สามัคคี ผลัดกันกัดและแทะก้านของใบลิลลี่น้ำ ตรงที่มันอยู่ใกล้กับราก โดยจะใช้ก้านให้มันเป็นสายจูงยาวๆ จากนั้นพวกเขาก็คาบมันไว้ในปาก แล้วลากไมอาไปไกลๆ จนกระทั่งกระแสน้ำนำบัวใบนั้นไหลลงสู่แม่น้ำสายใหญ่

โอ้! ไมอามีความสุขกับการเดินทางครั้งนั้นเมื่อเธอแน่ใจว่ากบแม่ลูกจะไม่มีทางตามมาถึงเธอแล้ว จากนั้นเธอก็ล่องไหลไปตามแม่น้ำผ่านไปหลายเมือง โดยผู้ที่อยู่ริมฝั่งน้ำมักจะหันมามองเธอและอุทานขึ้นว่า

“ช่างเป็นสาวน้อยที่น่ารักเสียนี่กระไร! เธอมาจากไหน?”

“ช่างเป็นสาวน้อยที่น่ารักเสียนี่กระไร!” เหล่านกในพุ่มไม้ส่งเสียงจิ๊บๆ พวกเขาบอกข่าวเล่าให้กันฟังด้วยถ้อยคำเหล่านี้ และจากนั้นก็มีผีเสื้อสีน้ำเงินตัวหนึ่งตกหลุมรักเธอและไม่ยอมจากเธอไปไหน ไมอาจึงถอดริ้บบินที่เป็นสายคาดเอวของเธอออกมาแล้วเอามันไปผูกไว้รอบตัวผีเสื้อ เพื่อที่เธอจะได้เดินทางไปได้เร็วกว่าเมื่อก่อนมากด้วยม้าชนิดใหม่เช่นนี้

โชคไม่ดี, มีแมลงด้วงปีกแข็งตัวโตที่บินว่อนอยู่เหนือแม่น้ำบังเอิญเหลือบมาเห็นเธอแล้ว และเขาก็ได้จับเธอไว้ในกรงเล็บแข็งแรงนั่น  ผีเสื้อผู้น่าสงสารตัวนั้นตกใจกลัวอย่างยิ่งเมื่อเห็นด้วงปีกแข็งตัวใหญ่ เขาจึงพยายามอย่างหนักที่จะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระเพื่อให้หลุดพ้นจากโบว์คาดเอว และเมื่อทำสำเร็จเขาก็บินพ้นออกไปสู่แสงแดดสดใส แต่ไมอาไม่ได้โชคดีนัก และแม้ว่าแมลงปีกแข็งจะเก็บน้ำผึ้งจากดอกไม้มาให้สำหรับเป็นอาหารค่ำของเธอ และเฝ้าบอกกับเธอหลายครั้งหลายหนว่าไมอาสวยแค่ไหน แต่เธอก็รู้สึกไม่สบายใจเมื่ออยู่กับเขา แมลงปีกแข็งสังเกตเห็นสิ่งนี้จึงได้เรียกน้องสาวของเขาเพื่อให้มาเล่นกับเธอ แต่พวกเขาจ้องเขม็งและพูดว่า:

“นายไปเอาของแปลกๆ นั่นมาจากไหน? แน่ใจได้เลยว่าเธอน่าเกลียดมาก แต่ควรสงสารเธอเพราะเธอมีเพียงสองขา”

“ใช่! และไม่มีหนวดที่ใช้สัมผัสหรือเพื่อค้นหาอาหาร” แมลงอีกตัวเสริม; “และเธอก็ผอมมาก! พี่ชายของเรามีรสนิยมแปลกๆ อย่างแน่นอน!”

“ใช่เลย เขาเป็นแบบนั้นแน่นอน!” คนอื่นๆ ตอบรับกับความคิดเห็นเช่นนั้น และพวกเขาก็พูดซ้ำๆ เสียงดังและบ่อยครั้ง จนในที่สุดเขาก็เชื่อว่าใช่ จากนั้นเขาก็ฉุดไมอาลงมาจากต้นไม้สูงใหญ่ที่เขาวางเธอไว้ตอนแรก เพื่อพาสาวน้อยตัวจิ๋วมาวางลงบนดอกเดซี่ที่เติบโตใกล้พื้นดิน

ไมอาอยู่ที่นี่ตลอดฤดูร้อน และก็ไม่มีความสุขจริงๆ เธอกล้าที่จะเดินไปรอบๆ ด้วยตัวเอง ถักทอใบหญ้าเป็นเตียงให้ตัวเองและวางไว้ใต้ใบโคลเวอร์เพื่อใช้เป็นที่กำบัง ถ้วยสีแดงที่เติบโตในตะไคร่น้ำนับเป็นแหล่งจัดเก็บน้ำค้างได้มากตามที่เธอต้องการ และแมลงปีกแข็งก็สอนวิธีเก็บน้ำผึ้งให้เธอ 

แต่ฤดูร้อนไม่ได้คงอยู่ตลอดไป ดอกไม้เริ่มต้นเหี่ยวแห้ง และแทนที่น้ำค้างก็จะมีแต่หิมะและน้ำแข็ง ไมอาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เพราะเสื้อผ้าของเธอเป็นผ้าขี้ริ้ว และถึงแม้จะพยายามม้วนใบไม้แห้งแต่มันก็แตกอยู่ใต้นิ้วมือของเธอ ไม่ช้าก็ปรากฏชัดสำหรับเธอว่าถ้าไม่มีที่พักพิงอื่น เธอจะตายด้วยความหิวโหยและหนาวเหน็บ

ดังนั้น เมื่อรวบรวมความกล้าทั้งหมดของเธอ ไมอาเดินทางออกจากป่าและข้ามถนนไปยังทุ่งข้าวโพดที่สวยงามในฤดูร้อนที่เคยเป็นมาก่อน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงหมู่มวลของตอซังที่มีก้านแข็ง สาวน้อยตัวจิ๋วเดินต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่เห็นอะไรนอกจากท้องฟ้าเหนือหัวของเธอ จนกระทั่งเธอพบว่าตัวเองอยู่ใกล้กับอุโมงค์ปากเปิดซึ่งดูเหมือนจะนำไปสู่ใต้ดิน

“ไม่ว่ายังไงก็ตาม” ไมอาคิด “และบางทีคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นอาจจะให้อะไรฉันกิน ไม่ว่ายังไงก็ตาม ฉันคงไม่สามารถดูแย่หรือเลวร้ายไปกว่าตอนนี้อีกแล้ว” และเธอก็เดินลงมาตามทางเดินอย่างกล้าหาญ จนเมื่อมาถึงประตูซึ่งเปิดแง้มไว้โดยบังเอิญ และเมื่อมองเข้าไปก็พบว่ามีข้าวโพดอยู่เต็มห้อง สิ่งนี้ทำให้ใจแฟ่บๆ ของเธอฟูและหญิงสาวตัวน้อยก็เดินต่อไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งถึงครัวที่หนูนาสูงวัยกำลังอบเค้กอยู่

“เจ้าสัตว์น้อยผู้น่าสงสาร” หนูนาผู้ซึ่งไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนร้องขึ้น “เจ้าดูหิวโหยแทบตาย! มานั่งนี่ ทำตัวให้อบอุ่น แล้วแบ่งปันอาหารมื้อค่ำของฉันกับฉัน”

ไมอาแทบร้องไห้ด้วยความปิติยินดีกับคำพูดใจดีของหนูเฒ่า เธอไม่ต้องการการชักชวนครั้งที่สอง แต่กินมากกว่าที่เธอเคยทำมาในชีวิต แม้ว่ามันจะไม่ใช่อาหารเช้าสำหรับนกฮัมมิงก็ตามเถอะ! เมื่อเธอรับประทานอาหารเสร็จแล้วเธอก็ยื่นมือออกมาและยิ้ม แล้วหนูชราก็พูดกับเธอว่า:

“คุณพอจะเล่าเรื่องได้ไหม? ซึ่งถ้าเป็นได้อย่างนั้น คุณก็อยู่กับฉันจนแดดร้อนอีก และช่วยฉันดูแลบ้านของฉันด้วย แต่ที่นี่จะน่าเบื่อในฤดูหนาว เว้นแต่คุณจะมีความฉลาดพอที่จะทำให้ทำให้ตัวคุณเองเพลิดเพลิน”

ใช่ ไมอาได้เรียนรู้เรื่องราวมากมายจากแม่บุญธรรมของเธอ และยังมีการผจญภัยของเธอเองทั้งหมด และการหลบหนีจากความตายของเธอ เธอรู้ดีว่าควรกวาดห้องอย่างไร และไม่เคยพลาดที่จะตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยสำหรับหนูเฒ่า

ดังนั้นฤดูหนาวจึงผ่านพ้นไปอย่างเป็นสุข ไมอาเริ่มพูดถึงฤดูใบไม้ผลิและถึงเวลาที่เธอจะต้องออกไปสู่โลกอีกครั้งเพื่อแสวงหาโชคชะตาของเธอ

“โอ้ คุณยังไม่ต้องคิดเรื่องนี้อีกสักพัก” หนูนาตอบ “บนแผ่นดิน พวกเขามีสุภาษิต: เมื่อวันยืดยาว จากนั้นความหนาวเย็นก็แข็งแกร่งขึ้น; ตอนนี้อากาศค่อนข้างอุ่นขึ้นแล้ว แต่ต่อไปหิมะก็จะตกได้อีกทุกเมื่อ ไม่มีฤดูหนาวใดผ่านไปโดยปราศจากมัน แล้วคุณจะรู้สึกขอบคุณมากที่คุณอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ข้างนอกนั่น แต่ฉันกล้าบอกว่ามันเงียบเชียบสำหรับเด็กสาวเช่นคุณ” เธอกล่าวเสริม “และฉันได้เชิญเพื่อนบ้านของฉัน ตัวตุ่น มาเยี่ยมเรา เขาหลับไปตลอดทั้งเดือน แต่ฉันได้ยินว่าเขาตื่นขึ้นอีกครั้ง คุณจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีถ้าเขาตั้งใจจะแต่งงานด้วย แต่น่าเสียดายที่เขาตาบอด จึงไม่เห็นว่าคุณสวยแค่ไหน” และสำหรับการตาบอดนี้ไมอารู้สึกดีใจอย่างแท้จริงเพราะเธอไม่ต้องการตัวตุ่นเป็นสามี.

อย่างไรก็ตาม ผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุด เขาก็ได้มาเยี่ยมตามสัญญา และไมอาก็ไม่ชอบเขาเลย เขาอาจจะร่ำรวยและเรียนรู้ได้มากที่สุด แต่เขาเกลียดแสงแดด ต้นไม้ ดอกไม้ และทุกสิ่งที่ไมอารักที่สุด แน่นอนว่าเมื่อตาบอด ตัวตุ่นจึงไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านั้นมาก่อน และเช่นเดียวกับคนอื่นๆ อีกหลายคน เขาคิดว่าสิ่งใดที่เขาไม่รู้ก็ไม่คุ้มค่าที่จะรู้ แต่นิทานของไมอาทำให้เขาขบขันแม้ว่าเขาจะไม่ยอมให้โลกได้เห็นและเขาก็ชื่นชมเสียงของเธอเมื่อเธอร้องเพลง:

แมรี่ แมรี่ ค่อนข้างดื้อรั้น

สวนของคุณเติบโตอย่างไรกันเล่านี่?

โอ๋ โอ๋ โอ๋ เด็กน้อย, บนยอดไม้สูงฉลูด;

แม้ว่าเขาจะบอกเธอว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ และต้นไม้และสวนก็เป็นเพียงความโง่เขลา เมื่อเธอเป็นภรรยาของเขา เขาจะสอนสิ่งที่เธอควรค่าแก่การเรียนรู้

“ในขณะเดียวกัน” เขาพูดอย่างโล่งอก “ฉันได้ขุดทางเดินจากบ้านหลังนี้ไปยังบ้านของฉันซึ่งคุณสามารถเดินไปได้  แต่ฉันขอเตือนคุณก่อนว่าอย่าตกใจกับสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ ที่ตกลงมาจากรูบนหลังคา และเขานอนตะแคงข้างเกะกะอยู่ที่นั่น’

“มันคือตัวอะไรกันแน่?” ไมอาถามอย่างกระตือรือร้น

“โอ้ย ฉันบอกคุณไม่ได้จริงๆ” ตัวตุ่นตอบอย่างเฉยเมย “มันถูกปกคลุมไปด้วยสิ่งที่อ่อนนุ่ม และมีขาผอมๆ สองข้าง และสิ่งที่แหลมยาวยื่นออกมาจากหัวของมัน”

“มันคือนก” ไมอาร้องอย่างร่าเริง “และฉันรักนก! มันต้องตายเพราะความหนาวเย็น” เธอกล่าวเสริม จากนั้นก็ลดเสียงลง “โอ้! ดีจริง คุณตัวตุ่น พาฉันไปดูสิ!”

“มาเถอะ ฉันกำลังจะกลับบ้าน” ตัวตุ่นตอบ และเรียกหนูนาผู้เฒ่าให้มากับพวกเขา แล้วทุกคนก็ออกเดินทาง

“มันอยู่ที่นี่” ตัวตุ่นพูดในที่สุด “ที่รัก ฉันรู้สึกขอบคุณมากที่เทพเจ้าแห่งโชคชะตาไม่ได้ทำให้ฉันเป็นนก พวกเขาไม่สามารถพูดอะไรได้นอกจาก 'จิ๊บๆ จิ๊บๆ' และตายด้วยลมหนาวเพียงครั้งแรกที่เขาหายใจมันเข้าไป”

“ใช่แล้ว เจ้าสัตว์ไร้ค่าที่น่าสงสาร” หนูนาตอบ แต่ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน ไมอาก็คืบคลานไปอีกด้านหนึ่งแล้วลูบขนของนกนางแอ่นน้อยนั้นและจูบที่ตาของเขา

ตลอดคืนนั้นไมอานอนไม่หลับ โดยเธอเอาแต่นึกถึงนกนางแอ่นตัวน้อยที่นอนตายอยู่ในอุโมงค์ทางเดิน  ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอจึงไปยังที่ซึ่งเก็บหญ้าแห้ง ขโมยหญ้าแห้งแล้วทอพรมผืนหนาผืนหนึ่ง ต่อจากนั้นเธอก็มุ่งไปที่ยุ้งเก็บฝ้ายของหนูนา ซึ่งเธอเก็บพวกมันมาจากดอกไม้ในบึงในฤดูร้อน และอุ้มพวกมันทั้งสองลงไปตามทางเดิน เธอซุกผ้าฝ้ายไว้ใต้ตัวนกแล้วปูผ้าห่มฟางคลุมเขา

“บางทีคุณอาจเป็นหนึ่งในนกนางแอ่นที่ร้องเพลงให้ฉันฟังในฤดูร้อน” เธอกล่าว “ฉันหวังว่าฉันจะได้ทำให้คุณมีชีวิตอีกครั้ง แต่ตอนนี้, ลาก่อน!” และเธอก็ก้มหน้าเปียกน้ำตาวางบนอกของนก ซึ่งเธอรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเบาๆ ที่แก้มของเธอใช่หรือไม่? ใช่ มันเคลื่อนไหวอีกแล้ว! แล้วสมมุติว่านกยังไม่ตาย แต่หมดสติด้วยความหนาวเย็นและความหิวโหย! เมื่อคิดได้เช่นนั้นไมอาจึงรีบกลับบ้าน นำเมล็ดข้าวโพดและหยดน้ำใส่ใบไม้ที่เธอจ่อใกล้ปากนกนางแอ่นซึ่งมันอ้าออกโดยไม่รู้ตัว และเมื่อเขาจิบน้ำแล้ว เธอก็ให้เมล็ดพืชแก่เขาทีละเม็ด

“อย่าส่งเสียงดัง เพื่อไม่ให้ใครเดาว่าคุณยังไม่ตาย” เธอกล่าว “คืนนี้ฉันจะเอาอาหารมาให้คุณอีก และฉันจะบอกตัวตุ่นว่าเขาต้องอุดรูอีกครั้ง เพราะมันทำให้ทางเดินเย็นเกินไปสำหรับฉันที่จะเดินเข้าไป และตอนนี้ฉันต้องไปก่อน” แล้วเธอก็จากไป เพื่อกลับมาที่บ้านของหนูนาที่หลับสนิท

หลังจากการพยาบาลอย่างระมัดระวังของไมอามาหลายวัน นกนางแอ่นก็รู้สึกแข็งแรงพอที่จะพูดได้ และก็บอกเล่าให้แก่ไมอาฟังว่าเขามาอยู่ในที่ที่เธอพบเขาได้อย่างไร โดยบอกว่า ก่อนที่เขาจะโตเต็มที่พอที่จะบินได้แข็งแรงและสูงมากกว่าที่เขาควรจะเป็น แต่แล้วพุ่มกุหลาบก็ได้ฉีกปีกของเขาให้บาดเจ็บจนกระทั่งเขาบินตามครอบครัวและเพื่อนฝูงไม่ทัน ซึ่งพวกเขาทั้งหมดต้องเดินทางไปยังดินแดนที่อบอุ่นกว่าอย่างรวดเร็วในเส้นทางที่ต้องไป และด้วยความรีบร้อนรวดเร็วพวกเขาจึงไม่เคยสังเกตว่าน้องชายคนเล็กไม่ได้อยู่กับพวกเขาแล้ว แล้วในที่สุด เขาก็ล้มลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้าอย่างแท้จริงและกลิ้งตกลงไปในรู หล่นลงมาในทางเดิน

โชคดีมากสำหรับนกนางแอ่นที่ทั้งตัวตุ่นและหนูนาคิดว่าเขาตายแล้ว และก็ไม่ได้รับความยุ่งยากลำบากอะไรจากเขา ดังนั้นเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึงจริงๆ แดดก็ร้อนและผักตบชวาสีฟ้าก็เติบโตในป่าและพริมโรสอยู่ในพุ่มไม้ เขาก็ตัวสูงและแข็งแรงพอๆ กับเพื่อนๆ ของเขา

“คุณช่วยชีวิตฉันไว้ ไมอาที่รัก” เขากล่าว “แต่บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะทิ้งคุณ—เว้นแต่” เขากล่าวเสริม “คุณจะยอมให้ฉันแบกคุณไว้บนหลังเพื่อพาคุณออกไปให้ห่างไกลจากเรือนจำอันมืดมนแห่งนี้”

ดวงตาของไมอาเป็นประกายกับความคิด แต่เธอก็ส่ายหัวอย่างกล้าหาญ

“ใช่ คุณต้องไป; แต่ฉันต้องอยู่ข้างหลัง” เธอตอบ “หนูนานั้นดีกับฉัน และฉันก็ทิ้งเธอไปแบบนั้นไม่ได้ คุณคิดว่าคุณสามารถเปิดอุโมงค์ให้ตัวเองได้ไหม?” เธอถามอย่างกังวล “ถ้าอย่างนั้น คุณควรเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลย ในเย็นวันนี้เราจะไปทานอาหารเย็นกับตัวตุ่น และแม่บุญธรรมของฉันคงไม่ได้เจอคุณแน่”

“นั่นก็จริง” นกนางแอ่นตอบและบินขึ้นไปบนหลังคา ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันอยู่เหนือพวกเขาไม่สูงนัก เขาเริ่มทำงานด้วยปากนกของเขา และในไม่ช้าก็ปล่อยให้แสงแดดส่องเข้ามาในที่มืด

“มากับฉันไหม ไมอา” เขาพูด แม้ว่าใจของเธอจะโหยหาต้นไม้และดอกไม้ แต่เธอก็ตอบเช่นเดิม:

“ไม่, ฉันไม่สามารถ.”

เพียงแวบเดียวของดวงอาทิตย์นั่นคือทั้งหมดที่ไมอาจะสามารถได้รับ และมันก็เป็นเช่นนี้มาระยะหนึ่งแล้วเพราะข้าวโพดงอกขึ้นมาอย่างหนาแน่นอยู่เหนือทางเข้าและรอบบ้าน ที่ถูกใบข้าวโพดบดบังแสงไว้จนแทบไม่มีแดดส่องมาถึงพื้นดินเลย 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเธอจะคิดถึงเพื่อนนกของเธอทุกขณะ แต่เธอก็ไม่มีเวลาว่างที่จะอยู่เฉยๆ เพราะหนูนาบอกกับเธอว่า อีกไม่นาน เธอจะแต่งงานกับตัวตุ่น และเก็บขนแกะและฝ้ายไว้เป็นชุด แต่ในขณะที่เธอไม่เคยทำชุดเดรสมาก่อน แมงมุมที่ฉลาดสี่ตัวจึงถูกชักชวนให้ใช้เวลาทั้งวันอยู่ใต้ดิน โดยเปลี่ยนขนแกะและฝ้ายให้เป็นเสื้อผ้าชุดเล็กๆ 

ไมอาชอบเสื้อผ้า แต่เกลียดความคิดเรื่องตัวตุ่นตาบอด มีเพียงเธอเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าจะหนีจากเขาได้อย่างไร 

ในตอนเย็น เมื่อแมงมุมกลับไปที่บ้านของพวกเขาในตอนกลางคืน เธอจะเดินไปส่งพวกเขาที่ประตูและรอจนลมพัดมาเป่าหูข้าวโพดให้แตก เพื่อเธอจะได้มองเห็นท้องฟ้า

“ถ้านกนางแอ่นจะมาตอนนี้” เธอพูดกับตัวเอง “ฉันจะไปกับเขาจนถึงจุดสิ้นสุดของโลก” 

แต่เขาไม่เคยมา!

“ชุดของคุณเสร็จแล้ว” หนูนาพูดในวันหนึ่งเมื่อผลเบอร์รี่เป็นสีแดงและใบเป็นสีเหลือง “และตัวตุ่นและฉันตัดสินใจว่างานแต่งงานของคุณจะเป็นเวลาในอีกสี่สัปดาห์นี้”

“โอ้ย! ไม่ทันแล้ว! ไม่ทันแล้ว!” 

ไมอาร้องออกมาพร้อมกับน้ำตาไหล ซึ่งทำให้หนูนาโกรธมาก และประกาศว่าไมอาไม่มีสามัญสำนึกมากกว่าผู้หญิงคนอื่น และไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับเธอ 

จากนั้นตัวตุ่นก็มาถึงและอุ้มเธอขึ้นบนหลังของเขาเพื่อพาไปดูบ้านใหม่ที่เขาขุดให้เธอ ซึ่งอยู่ใต้ดินที่ลึกมากจนขาเล็กๆ ของไมอาไม่สามารถจะพาเธอปีนกลับขึ้นไปได้สูงเท่าที่อยู่อาศัยของหนูนา ซึ่งที่บ้านหลังนั้นเธอยังอาจมองเห็นแสงแดดได้บ้าง แต่ที่นี่ ไม่เลย เธอจะไม่ได้เห็นอีกแล้วแสงตะวัน

ใจของเธอก็หนักขึ้นและหนักขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป และในเย็นวันสุดท้ายของทุกอย่าง เธอคลานเข้าไปในทุ่งข้าวโพดท่ามกลางตอซังเพื่อชมพระอาทิตย์ตกก่อนที่เธอจะกล่าวคำอำลาตลอดไป

“ลาก่อน ลาก่อน” เธอกล่าว “และลาก่อนนกนางแอ่นตัวน้อยของฉัน อา! ถ้าเขารู้ เขาก็จะมาช่วยฉัน”

“จิ๊บ! จิ๊บ,” เสียงร้องที่อยู่เหนือเธอ; และนกนางแอ่นก็กระพือปีกลงมายืนบนพื้นข้างๆ เธอ “คุณดูเศร้า; คุณจะปล่อยให้ตัวตุ่นน่าเกลียดแต่งงานกับคุณจริงๆ หรือ?”

“อีกไม่นานฉันจะต้องตาย นั่นคือความสบายใจอย่างหนึ่ง” เธอตอบด้วยน้ำตา แต่นกนางแอ่นพูดเพียงว่า:

“จิ๊บ! จิ๊บ! ขึ้นมานั่งบนหลังของฉัน ดั่งเช่นที่ฉันบอกคุณก่อนแล้ว ฉันจะพาคุณไปยังดินแดนที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงเสมอ และในไม่ช้าคุณจะลืมไปเลยว่าตัวตุ่นนั้นมันเคยมีอยู่จริง”

“ใช่ฉันจะไป” ไมอากล่าว

แล้วนกนางแอ่นก็ฉีกต้นข้าวโพดด้วยจงอยปากอันแข็งแรง และบอกให้เธอผูกมันเอาไว้กับปีกของเขาอย่างปลอดภัย และพวกเขาก็เริ่มออกบินเพื่อบินไปทางใต้หลายวัน 

โอ้! ไมอามีความสุขเพียงใดที่ได้เห็นโลกที่สวยงามอีกครั้ง! เธอปรารถนาให้นกนางแอ่นหยุดเป็นร้อยครั้ง แต่เขาบอกกับเธอเสมอว่าสิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง และพวกเขาบินไปเรื่อยๆ หยุดเพียงช่วงสั้นๆ จนกระทั่งพวกเขามาถึงที่ซึ่งมีเสาหินอ่อนสีขาวสูงตระหง่าน บางเสายืนต้นสูงและมีเถาวัลย์เป็นพวงห้อยประดับ ซึ่งนกนางแอ่นกำลังยื่นหัวของเขาแอบดูอยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนเสาต้นอื่นๆ นอนเหยียดอยู่ท่ามกลางดอกไม้ ขาว เหลือง และน้ำเงิน

“ฉันอาศัยอยู่ที่นั่น” นกนางแอ่นชี้ไปที่เสาที่สูงที่สุด “แต่บ้านหลังนี้ไม่ได้ทำมาเพื่อคุณ เพราะคุณจะหลุดออกมาจากมันและหล่นมาตาย ดังนั้น จงเลือกดอกไม้ดอกใดดอกหนึ่งด้านล่าง แล้วคุณจะมีดอกไม้นั้นสำหรับตัวคุณเอง และนอนหลับทั้งคืนโดยขดตัวอยู่ในใบไม้”

“ฉันจะได้สิ่งนั้น” ไมอาตอบ ชี้ไปที่ดอกไม้สีขาวที่มีรูปร่างเหมือนดาวฤกษ์ โดยมีพวงประดับใบไม้ดอกไม้สีแดงและสีเหลืองเล็กๆ ตรงกลางและมีก้านยาวที่ไหวไปมาในสายลม “อันนั้นสวยที่สุดและมีกลิ่นหอมมาก” 

แล้วนกนางแอ่นก็บินลงไปหามัน แต่เมื่อเข้าไปใกล้ พวกเขาเห็นบุคคลที่มีขนาดเล็กๆ สวมมงกุฎบนศีรษะ และมีปีกบนบ่า ทรงตัวอยู่บนใบไม้ใบหนึ่ง 

“อา นั่นคือราชาแห่งวิญญาณดอกไม้” นกนางแอ่นกระซิบ 

พระราชาทรงยื่นพระหัตถ์ให้ไมอาเพื่อช่วยให้เธอกระโดดลงมาจากหลังของนกนางแอ่น

“ฉันรอคุณมานานแล้ว” เขาพูด “และในที่สุดคุณก็มาเป็นราชินีของฉัน”

ไมอายิ้มและยืนเคียงข้างเขาขณะที่นางฟ้าทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในดอกไม้วิ่งไปหยิบของขวัญมาให้เธอ และที่ดีที่สุดคือปีกสีฟ้าโปร่งน่ารักคู่หนึ่ง ที่ทำให้เธอบินได้เหมือนกับผู้ที่มอบมันให้เธอ

ดังนั้น แทนที่จะแต่งงานกับตัวตุ่น ไมอาตัวน้อยก็สวมมงกุฎเป็นราชินี และเหล่านางฟ้าก็เต้นรำไปรอบๆ ตัวเธอในวงแหวน ขณะที่นกนางแอ่นร้องเพลงงานแต่งงาน …


แหล่งอ้างอิง : THE OLIVE FAIRY BOOK by ANDREW LANG (1907)

วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

SNOWDROP : สโนว์ดรอป


สโนว์ดรอป : Snowdrop


กาลครั้งหนึ่ง กลางฤดูหนาว เมื่อเกล็ดหิมะร่วงหล่นลงมาราวกับขนนกบนพื้นโลก ราชินีองค์หนึ่งนั่งประทับอยู่ริมหน้าต่างที่ประดับด้วยไม้มะเกลือสีดำแล้วเย็บปักผ้าของเธอ ขณะที่เธอเย็บผ้าและมองออกไปที่ภูมิทัศน์สีขาว เธอก็เผลอแทงนิ้วของเธอด้วยเข็มและเลือดสามหยดก็ตกลงบนหิมะข้างนอก และเพราะว่าสีแดงนั้นดูโดดเด่นตัดกับสีขาวที่เธอคิดกับตัวเอง:

'โอ้ ข้าจะต้องให้อะไรเพื่อให้ได้ลูกที่ผิวขาวราวกับหิมะ ริมฝีปากแดงดั่งเลือด และมีเส้นผมดำดั่งไม้มะเกลือ,”

และความปรารถนาของเธอก็เป็นจริงได้ไม่นานหลังจากที่ลูกสาวตัวน้อยเกิดมามีผิวสีขาวราวกับหิมะ ริมฝีปากและแก้มสีแดงราวกับเลือด และผมสีดำราวกับไม้มะเกลือ พวกเขาเรียกเธอว่าสโนว์ดรอป และไม่นานหลังจากที่เธอประสูติ ราชินีก็สิ้นพระชนม์

หลังจากนั้นหนึ่งปีกษัตริย์ก็ทรงอภิเษกสมรสอีกครั้ง ภรรยาใหม่ของเขาเป็นผู้หญิงที่สวย แต่เย่อหยิ่งและเอาแต่ใจมากจนไม่สามารถยืนหยัดเพื่อแข่งขันกับความงามของเธอได้ เธอมีกระจกวิเศษ และเมื่อเธอยืนต่อหน้ากระจกนั้นจ้องมองเงาสะท้อนของเธอเองแล้วถามว่า:

'กระจก กระจก แขวนอยู่ที่นั่น

ใครบ้างที่งดงามที่สุดในแผ่นดินนี้?

มันก็ตอบเสมอว่า:

'ท่านงดงามที่สุดราชินี นายหญิงของข้า

ไม่มีความงดงามในแผ่นดินนี้อีกแล้ว'

จากนั้นเธอก็ค่อนข้างมีความสุข เพราะเธอรู้ว่ากระจกนั้นพูดความจริงเสมอ

แต่สโนว์ดรอปก็สวยขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน และเมื่อเธออายุได้เจ็ดขวบ เธอก็สวยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และสวยกว่าราชินีด้วยซ้ำ วันหนึ่งเมื่อราชินีกลับมาถามคำถามปกติในกระจกของเธอ กระจกก็ตอบว่า:

'ราชินี นายหญิงของข้า; ท่านงดงาม เป็นเรื่องจริง

แต่สโนว์ดรอปนั้นงดงามกว่าท่านมาก'

จากนั้นพระราชินีก็โผเข้าไปสู่กิเลสอันน่าสะพรึงกลัวที่สุด และเปลี่ยนทุกเฉดสีที่เขียวขจีด้วยความริษยาของเธอ ตั้งแต่ชั่วโมงนี้เป็นต้นไป เธอเกลียดสโนว์ดรอปผู้น่าสงสารเหมือนยาพิษ และทุกๆ วัน ความอิจฉา ความเกลียดชัง และความอาฆาตพยาบาทของเธอก็เพิ่มมากขึ้น ความอิจฉาและความริษยาเป็นเหมือนวัชพืชที่งอกขึ้นมาบีบรัดหัวใจ ในที่สุดเธอก็ทนต่อการปรากฏตัวของสโนว์ดรอปไม่ได้อีกต่อไป และเธอก็เรียกนักล่ามาหาเธอ แล้วพูดว่า:

“พาเด็กออกไปในป่า และอย่าให้ข้าเห็นหน้าเธออีกเลย เจ้าต้องฆ่าเธอแล้วนำปอดและตับของเธอกลับมาให้ข้า เพื่อข้าจะได้รู้ว่าเธอตายแล้ว”

นายพรานทำตามที่บอกและเขาก็พาสโนว์ดรอปออกไปในป่า แต่ในขณะที่เขากำลังชักมีดออกมาจะฆ่าเธอ เธอก็เริ่มร้องไห้และพูดว่า:

'โอ้ นายพรานที่รัก ไว้ชีวิตข้า และข้าสัญญาว่าจะบินออกไปในป่ากว้าง และไม่กลับไปที่บ้านนั้นอีก'

และเนื่องจากเธอยังเด็กและสวยมาก นายพรานจึงสงสารเธอ และพูดว่า:

'เอาล่ะ วิ่งไปเถอะเจ้าเด็กน้อย' เพราะเขาคิดกับตัวเองว่า 'สัตว์ป่าจะกัดกินเธอในไม่ช้า'

และก็รู้สึกเบาใจขึ้นเพราะไม่ต้องทำเอง ขณะที่เขาหันหลังกลับ มีหมูป่าตัวหนึ่งวิ่งผ่านมา เขาจึงยิงมัน และนำปอดและตับของมันกลับบ้านไปหาราชินี เพื่อเป็นหลักฐานว่าสโนว์ดรอปตายแล้วจริงๆ และหญิงชั่วร้ายก็ให้พ่อครัวตุ๋นพวกมันด้วยเกลือแล้วกินมันทั้งหมด โดยคิดว่าเธอจะทำให้สโนว์ดรอปสิ้นสุดลงตลอดกาล

ตอนนี้เมื่อเด็กหญิงที่น่าสงสารพบว่าตัวเองอยู่ตามลำพังในป่าใหญ่ ต้นไม้รอบๆ ตัวเธอดูเหมือนจะมีรูปร่างแปลกๆ และเธอรู้สึกหวาดกลัวมากจนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร จากนั้นเธอก็เริ่มวิ่งข้ามก้อนหินแหลมคม และผ่านพุ่มไม้หนาม และสัตว์ป่าก็วิ่งผ่านเธอไป แต่พวกมันไม่ได้ทำอันตรายเธอเลย เธอวิ่งไปจนสุดขาของเธอที่จะพาเธอไปได้ และเมื่อใกล้ค่ำเธอก็เห็นบ้านหลังเล็กๆ และเธอก็ก้าวเข้าไปข้างในเพื่อพักผ่อน 

ทุกอย่างมีขนาดเล็กมากในบ้านหลังเล็ก แต่สะอาดและเรียบร้อยกว่าสิ่งใดใด ที่ท่านจะจินตนาการได้ กลางห้องมีโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่ง ปูด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาว และมีจานเล็กๆ เจ็ดจาน ส้อม ช้อน มีด และแก้วน้ำ ข้างๆ ผนังมีเตียงเล็กๆ เจ็ดเตียง ปูด้วยผ้าคลุมสีขาวเหมือนหิมะ สโนว์ดรอปรู้สึกหิวและกระหายน้ำมากจนเธอต้องกินขนมปังเล็กน้อยและโจ๊กเล็กน้อยจากแต่ละจาน และดื่มไวน์หนึ่งหยดจากแก้วแต่ละใบ จากนั้นเธอก็รู้สึกเหนื่อยและง่วงนอน เธอจึงนอนบนเตียง เตียงใดเตียงหนึ่งแต่ก็ไม่สบาย จากนั้นเธอก็ลองอันอื่นทั้งหมดตามลำดับ แต่อันหนึ่งยาวเกินไปและอีกอันสั้นเกินไป และเมื่อเธอไปถึงเตียงที่เจ็ดเธอก็พบอันที่เหมาะกับเธอพอดี เธอจึงนอนลงบนนั้น พูดคำอธิษฐานเหมือนเด็กดี แล้วหลับไป

เมื่อมืดลงแล้ว บรรดาเจ้าบ้านตัวน้อยก็กลับมา; พวกเขาเป็นคนแคระเจ็ดคนที่ทำงานในเหมืองที่อยู่ลึกลงไปใจกลางภูเขา พวกเขาจุดตะเกียงเล็กๆ เจ็ดดวง และทันทีที่ดวงตาคุ้นเคยกับแสงจ้าก็เห็นว่ามีคนอยู่ในห้อง เพราะทุกคนไม่อยู่ในลำดับเดียวกับที่พวกเขาออกไป

คนแรกกล่าวว่า:

'ใครกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กของข้า'

คนที่สองกล่าวว่า:

'ใครกินขนมปังก้อนเล็กๆ ของข้าบ้าง'

คนที่สามกล่าวว่า:

'ใครชิมโจ๊กของข้าบ้าง'

คนที่สี่กล่าวว่า:

'ใครกินจากจานเล็กๆ ของข้าบ้าง'

คนที่ห้ากล่าวว่า:

'ใครใช้ส้อมเล็กๆ ของข้าบ้าง'

คนที่หกกล่าวว่า:

'ใครกันที่ใช้มีดเล็กๆ ของข้า'

คนที่เจ็ดกล่าวว่า:

'ใครเป็นคนดื่มจากแก้วน้ำเล็กๆ ของข้าบ้าง'

จากนั้นคนแคระคนแรกก็มองไปรอบๆ และเห็นโพรงเล็กๆ บนเตียงของเขา จึงถามอีกครั้ง:

'ใครนอนอยู่บนเตียงของข้า?'

คนอื่นๆ วิ่งเข้ามาและร้องเมื่อเห็นเตียงของตน:

'มีคนมานอนทับเตียงของพวกเราเหมือนกัน'

แต่เมื่อคนที่เจ็ดมาถึงเตียงของเขา เขาก็กลับมาด้วยความประหลาดใจ เพราะที่นั่นเขาเห็นสโนว์ดรอปหลับสนิทอยู่ จากนั้นเขาก็เรียกหาคนอื่นๆ ซึ่งเปิดตะเกียงดวงเล็กๆ ของพวกเขาให้สว่างเต็มเตียง และเมื่อพวกเขาเห็นสโนว์ดรอปนอนอยู่ที่นั่น พวกเขาก็แทบจะล้มลงด้วยความประหลาดใจ

'พระกรุณาอย่างยิ่ง,' พวกเขาร้อง 'ช่างเป็นเด็กที่สวยงามจริงๆ'

พวกเขาหลงใหลในความงามของเธอมากจนไม่ได้ปลุกเธอ แต่ปล่อยให้เธอนอนบนเตียงเล็กๆ แต่คนแคระคนที่เจ็ดจะนอนกับเพื่อนๆ ในแต่ละเตียงเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง และด้วยวิธีนี้เขาจึงสามารถผ่านคืนนี้ไปได้

ในตอนเช้าสโนว์ดรอปตื่นขึ้นมา แต่เมื่อเธอเห็นคนแคระทั้งเจ็ด เธอก็รู้สึกหวาดกลัวมาก แต่พวกเขาก็เป็นมิตรมาก และถามเธอว่าเธอชื่ออะไร เธอก็ตอบไปว่า

'ข้าชื่อสโนว์ดรอป'

'ทำไมเจ้าถึงมาที่บ้านของเรา?' คนแคระพูดต่อ

จากนั้นเธอก็เล่าให้พวกเขาฟังว่าแม่เลี้ยงของเธออยากให้เธอตายอย่างไร และนายพรานช่วยชีวิตเธอได้อย่างไร และเธอวิ่งทั้งวันจนกระทั่งมาที่บ้านเล็กๆ ของพวกเขาอย่างไร เมื่อพวกคนแคระได้ยินเรื่องเศร้าของเธอจึงถามเธอว่า

'เจ้าจะอยู่ดูแลบ้านให้เรา ทำอาหาร ทำเตียง ซักผ้า เย็บและถักเสื้อได้ไหม? และถ้าเจ้าให้ความพอใจและรักษาทุกสิ่งให้เรียบร้อยและสะอาดแล้ว เจ้าก็จะไม่ต้องการสิ่งใดเลย”

“ใช่” สโนว์ดรอปตอบ “ข้ายินดีจะทำทุกอย่างที่ท่านขอ”

เธอจึงไปอาศัยอยู่กับพวกเขา ทุกเช้าคนแคระจะขึ้นไปบนภูเขาเพื่อขุดทอง และในตอนเย็นเมื่อพวกเขากลับบ้าน สโนว์ดรอปก็จะเตรียมอาหารมื้อเย็นให้พวกเขาเสมอ แต่ในระหว่างวัน เด็กหญิงคนนั้นถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ดังนั้นคนแคระที่ใจดีจึงเตือนเธอว่า:

'ระวังแม่เลี้ยงของเจ้า อีกไม่นานเธอก็จะพบว่าเจ้าอยู่ที่นี่ และไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรก็ตามเจ้าจะต้องไม่ยอมให้ใครเข้าไปในบ้าน'

ตอนนี้พระราชินี หลังจากที่เธอคิดว่าเธอกินปอดและตับของสโนว์ดรอปไปแล้ว ก็ไม่เคยคาดฝัน เพราะเชื่อว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกอีกครั้งหนึ่ง วันหนึ่งเธอเดินไปหน้ากระจกแล้วพูดว่า:

'กระจก กระจก แขวนอยู่ที่นั่น

ใครบ้างที่งดงามที่สุดในแผ่นดินนี้?

และกระจกก็ตอบว่า:

'ราชินี นายหญิงของข้า; ท่านงดงาม เป็นเรื่องจริง

แต่สโนว์ดรอปนั้นงดงามกว่าท่านมาก

สโนว์ดรอปซึ่งอาศัยอยู่กับผู้ชายตัวน้อยทั้งเจ็ด

งดงามพอๆ กับท่านที่งดงามยิ่งอีกครั้ง'

เมื่อราชินีได้ยินคำพูดเหล่านี้ เธอก็เกือบจะตกตะลึงด้วยความหวาดกลัว เพราะกระจกนั้นพูดความจริงอยู่เสมอ และเธอก็รู้แล้วในตอนนี้ว่านายพรานต้องหลอกลวงเธอ และสโนว์ดรอปยังมีชีวิตอยู่ เธอครุ่นคิดทั้งกลางวันและกลางคืนว่าเธอจะทำลายสโนว์ดรอปได้อย่างไร ตราบเท่าที่เธอรู้สึกว่าเธอมีคู่แข่งในดินแดน ใจที่อิจฉาริษยาของเธอทำให้เธอไม่หยุดพัก ในที่สุดเธอก็บรรลุแผน เธอทำหน้าเปื้อนและแต่งตัวเป็นภรรยาคนเร่ขายของเก่าจนไม่มีใครจดจำได้ ด้วยหน้ากากนี้ เธอได้เดินทางข้ามเนินเขาทั้งเจ็ดจนกระทั่งมาถึงบ้านของคนแคระทั้งเจ็ด ที่นั่น เธอเคาะประตูและร้องออกมาพร้อมกัน:

'ของดีมีไว้ขาย ของดีมีไว้ขาย'

สโนว์ดรอปแอบมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วตะโกนว่า:

'สวัสดี ท่านแม่ มีอะไรขายบ้าง?'

'ของดี เครื่องถ้วยชั้นดี' เธอตอบ; 'เชือกทุกเฉดสีและทุกรายละเอียด' และเธอก็ชูเชือกเส้นหนึ่งที่ทำจากผ้าไหมสีเทาขึ้นมา

'แน่นอนว่าข้าสามารถปล่อยให้ผู้หญิงที่ซื่อสัตย์เข้ามาได้' สโนว์ดรอปคิด เธอจึงปลดลูกกรงออกและซื้อลูกไม้อันสวยงามนั้น

'ใจดีจังเลย เด็กน้อย” หญิงชราพูด “ท่านมีรูปร่างที่ดีอะไรเช่นนี้ มา ข้าจะผูกเชือกให้ท่านอย่างถูกต้องสักครั้ง”

สโนว์ดรอปไม่สงสัยในสิ่งชั่วร้าย ยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้วปล่อยให้เธอผูกเสื้อท่อนบนของเธอขึ้น แต่หญิงชราก็ผูกเธอไว้อย่างรวดเร็วและแน่นหนาจนสโนว์ดรอปหายใจไม่ออก และเธอก็ล้มลงเสียชีวิต

“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่คนที่สวยที่สุดอีกต่อไปแล้ว” หญิงชราผู้ชั่วร้ายพูด แล้วเธอก็รีบจากไป

ในตอนเย็นคนแคระทั้งเจ็ดกลับมาบ้าน และท่านอาจคิดว่าพวกเขาต้องตกใจขนาดไหนเมื่อเห็นสโนว์ดรอปที่รักของพวกเขานอนอยู่บนพื้น นิ่งและไม่เคลื่อนไหวเหมือนคนตาย พวกเขาอุ้มเธอขึ้นอย่างอ่อนโยน และเมื่อพวกเขาเห็นว่าเธอผูกเชือกแน่นแค่ไหน พวกเขาจึงตัดเชือกออกเป็นสองท่อน จากนั้นเธอก็เริ่มหายใจเข้าเล็กน้อย และค่อยๆ กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เมื่อพวกคนแคระได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นก็พูดว่า:

'ขึ้นอยู่กับมัน ภรรยาคนเร่ขายของเก่าก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากราชินีคนเก่า ในอนาคตท่านจะต้องไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาถ้าเราไม่ได้อยู่บ้าน'

ทันทีที่ราชินีผู้ชั่วร้ายกลับถึงบ้าน เธอก็ตรงไปที่กระจกของเธอแล้วพูดว่า:

'กระจก กระจก แขวนอยู่ที่นั่น

ใครบ้างที่งดงามที่สุดในแผ่นดินนี้?

และกระจกก็ตอบเช่นเดิมว่า

'ราชินี นายหญิงของข้า; ท่านงดงาม เป็นเรื่องจริง

แต่สโนว์ดรอปนั้นงดงามกว่าท่านมาก

สโนว์ดรอปซึ่งอาศัยอยู่กับผู้ชายตัวน้อยทั้งเจ็ด

งดงามพอๆ กับท่านที่งดงามยิ่งอีกครั้ง'

เมื่อได้ยินดังนั้น เธอก็หน้าซีดราวกับความตาย เพราะเธอเห็นทันทีว่าสโนว์ดรอปต้องกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

'คราวนี้' เธอพูดกับตัวเอง 'ข้าจะคิดถึงบางสิ่งที่จะทำให้เธอถึงจุดจบทันทีและตลอดไป'

และด้วยเวทมนตร์ที่เธอเข้าใจดี เธอจึงทำหวีพิษ แล้วเธอก็แต่งตัวและสวมร่างเป็นหญิงชราอีกคน เธอจึงมุ่งหน้าข้ามเนินเขาทั้งเจ็ดไปจนถึงบ้านของคนแคระทั้งเจ็ด และเคาะประตูแล้วร้องว่า

'ขายสินค้าชั้นดี'

สโนว์ดรอปมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วพูดว่า:

“ท่านต้องไปเสียก่อน เพราะข้าจะไม่ยอมให้ใครเข้ามา”

'แต่แน่นอนว่าท่านไม่ได้ถูกห้ามไม่ให้ระวังตัวเองเหรอ?' หญิงชรากล่าว และเธอก็หยิบหวีพิษขึ้นมาให้เธอดู

ทำให้หญิงสาวพอใจมากจนยอมให้ตัวเองไปเปิดประตู เมื่อตกลงกันได้แล้ว หญิงชราก็กล่าวว่า

'ตอนนี้ข้าจะหวีผมของท่านอย่างถูกต้องสำหรับท่านเป็นครั้งแรก'

สโนว์ดรอปผู้น่าสงสารไม่คิดว่าจะมีความชั่วร้าย แต่หวีแทบจะไม่แตะผมของเธอเลย พิษก็ออกฤทธิ์และเธอก็ล้มลงหมดสติ

“เอาล่ะ ผู้หญิงที่ดีของข้า ท่านทำเสร็จแล้วจริงๆ สำหรับครั้งนี้” หญิงชั่วร้ายพูด และเธอก็รีบกลับบ้านโดยเร็วที่สุด

โชคดีที่ตอนนี้ใกล้ค่ำแล้ว และคนแคระทั้งเจ็ดก็กลับบ้าน เมื่อพวกเขาเห็นสโนว์ดรอปนอนตายอยู่บนพื้น พวกเขาก็สงสัยว่าแม่เลี้ยงที่ชั่วร้ายของเธอกลับมาทำงานอีกครั้ง จึงค้นหาจนพบหวีพิษนั้น และทันทีที่พวกเขาดึงมันออกจากผมของเธอ สโนว์ดรอปกลับมาหาตัวเองอีกครั้งและเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นพวกเขาก็เตือนเธออีกครั้งให้ระวังตัวและอย่าเปิดประตูให้ใคร

ทันทีที่พระราชินีกลับถึงบ้าน เธอก็ตรงไปที่กระจกและถามว่า:

'กระจก กระจก แขวนอยู่ที่นั่น

ใครบ้างที่งดงามที่สุดในแผ่นดินนี้?

และกระจกก็ตอบเช่นเดิมว่า

'ราชินี นายหญิงของข้า; ท่านงดงาม เป็นเรื่องจริง

แต่สโนว์ดรอปนั้นงดงามกว่าท่านมาก

สโนว์ดรอปซึ่งอาศัยอยู่กับผู้ชายตัวน้อยทั้งเจ็ด

งดงามพอๆ กับท่านที่งดงามยิ่งอีกครั้ง'

เมื่อเธอได้ยินคำพูดเหล่านี้เธอก็ตัวสั่นและสั่นด้วยความโกรธอย่างแท้จริง

“สโนว์ดรอปจะต้องตาย” เธอร้อง 'ใช่ แม้ว่าข้าต้องแลกชีวิตก็ตาม'

จากนั้นเธอก็ไปที่ห้องลับเล็กๆ ซึ่งไม่มีใครรู้นอกจากตัวเธอเอง และที่นั่นเธอก็ทำแอปเปิ้ลพิษ ภายนอกดูสวยงาม ขาวแก้มแดง ใครเห็นก็อยากกิน แต่ใครก็ตามที่ทำเช่นนั้นจะต้องตายทันที เมื่อผลแอปเปิลเสร็จเรียบร้อย เธอก็เปื้อนหน้าและแต่งกายเป็นชาวนา แล้วจึงเสด็จข้ามเนินเขาทั้งเจ็ดไปหาคนแคระทั้งเจ็ด เธอเคาะประตูตามปกติ แต่สโนว์ดรอปยื่นหัวออกไปนอกหน้าต่างแล้วตะโกน:

'ข้าไม่อนุญาตให้ใครเข้าไป คนแคระทั้งเจ็ดได้ห้ามไม่ให้ข้าทำเช่นนั้น'

“ท่านกลัวที่จะถูกวางยาพิษหรือเปล่า” หญิงชราถาม 'ดูสิข้าจะผ่าแอปเปิ้ลนี้ครึ่งหนึ่ง ข้าจะกินแก้มขาว ส่วนสีแดงก็กินได้”

แต่แอปเปิ้ลนั้นถูกสร้างขึ้นมาอย่างชาญฉลาดจนมีเพียงแก้มสีแดงเท่านั้นที่มีพิษ สโนว์ดรอปปรารถนาที่จะกินผลไม้ที่น่าดึงดูด และเมื่อเธอเห็นว่าหญิงชาวนากำลังกินมันด้วยตัวเอง เธอก็ไม่สามารถต้านทานสิ่งล่อใจนี้ได้อีกต่อไป และยื่นมือของเธอออกมา เธอก็หยิบเอาครึ่งหนึ่งที่มีพิษ แต่แทบไม่ได้กัดคำแรกผ่านริมฝีปากของเธอเลย เธอก็ล้มลงตายกับพื้น จากนั้นดวงตาของราชินีผู้โหดร้ายก็เปล่งประกายด้วยความยินดี และเธอก็หัวเราะเสียงดังและร้องว่า:

'ขาวดุจหิมะ แดงดุจเลือด และดำดุจมะเกลือ คราวนี้คนแคระจะไม่สามารถพาเจ้ากลับมามีชีวิตอีกครั้งได้'

เมื่อกลับถึงบ้านเธอก็ถามกระจกว่า

'กระจก กระจก แขวนอยู่ที่นั่น

ใครบ้างที่งดงามที่สุดในแผ่นดินนี้?

และกระจกก็ตอบเช่นเดิมว่า

'ราชินี นายหญิงของข้า; ท่านงดงาม เป็นเรื่องจริง

‘ไม่มีความงดงามใดในแผ่นดินนี้อีกแล้ว'

จากนั้นใจที่อิจฉาของเธอก็ได้พักผ่อน—อย่างน้อยก็พักผ่อนให้มากที่สุดเท่าที่ใจที่อิจฉาจะสามารถทำได้

เมื่อคนแคระตัวน้อยกลับมาบ้านในตอนเย็น พวกเขาพบสโนว์ดรอปนอนอยู่บนพื้น และเธอก็ไม่หายใจหรือขยับเลย พวกเขาอุ้มเธอขึ้นและมองไปรอบๆ เพื่อดูว่าจะพบอะไรมีพิษหรือไม่ พวกเขาเปลื้องเสื้อท่อนบนของเธอ หวีผมของเธอ สระเธอด้วยน้ำและไวน์ แต่ทั้งหมดนี้ก็ไร้ประโยชน์ เด็กคนนั้นตายแล้วและยังคงตายอยู่ จากนั้นพวกเขาก็วางเธอไว้บนที่เก็บเบียร์ และคนแคระทั้งเจ็ดก็นั่งล้อมรอบมัน ร้องไห้และสะอื้นเป็นเวลาสามวันเต็ม ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะฝังเธอ แต่เธอก็ดูบานสะพรั่งราวกับมีชีวิต และแก้มของเธอยังคงเป็นสีที่สวยงามจนพวกเขาพูดว่า:

'เราไม่สามารถซ่อนเธอไว้ใต้พื้นสีดำได้'

พวกเขาจึงมีโลงศพที่ทำจากแก้วใส และวางเธอไว้ในนั้น และเขียนบนฝาด้วยตัวอักษรสีทองว่าเธอคือเจ้าหญิงในราชวงศ์ จากนั้นพวกเขาก็วางโลงศพไว้บนยอดเขา และมีคนแคระคนหนึ่งคอยอยู่ข้างๆ และเฝ้าดูแลโลงศพอยู่เสมอ และนกในอากาศก็มาคร่ำครวญถึงการตายของสโนว์ดรอป ตัวแรกเป็นนกฮูก จากนั้นก็เป็นอีกา และสุดท้ายเป็นนกพิราบตัวน้อย

สโนว์ดรอปนอนอยู่ในโลงศพเป็นเวลานาน และเธอก็ดูเหมือนเดิมเสมอ ราวกับว่าเธอหลับสนิท และเธอยังคงขาวราวกับหิมะ แดงดั่งเลือด และผมของเธอดำดั่งไม้มะเกลือ

วันหนึ่งมีเจ้าชายคนหนึ่งมาที่ป่าและเดินผ่านบ้านของคนแคระ เขาเห็นโลงศพบนเนินเขาซึ่งมีสโนว์ดรอปอันสวยงามอยู่ข้างใน และเมื่อเขาอ่านข้อความที่เขียนด้วยตัวอักษรสีทองบนโลงศพแล้ว เขาก็พูดกับคนแคระว่า

'ส่งโลงศพให้ข้า ข้าจะให้สิ่งที่ท่านชอบเพื่อมัน”

แต่คนแคระกล่าวว่า: 'ไม่; เราจะไม่แยกจากกันเพื่อทองคำทั้งหมดในโลกนี้'

“เอาล่ะ” เขาตอบ “มอบให้ข้าเถอะ เพราะข้าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีสโนว์ดรอป ข้าจะทะนุถนอมและรักราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของข้า”

เขาพูดเศร้ามากจนคนแคระใจดีสงสารเขา และมอบโลงศพให้เขา และเจ้าชายก็ให้คนรับใช้ของเขาแบกมันไว้บนบ่า บังเอิญว่าขณะที่พวกเขากำลังลงจากเนินเขา พวกเขาก็สะดุดเข้ากับพุ่มไม้ และโลงศพเขย่าอย่างรุนแรงจนแอปเปิ้ลพิษที่สโนว์ดรอปกลืนลงไปหลุดออกจากลำคอของเธอ เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น ยกฝาโลงศพขึ้น และลุกขึ้นนั่งอย่างมีชีวิตชีวา

'โอ้ ที่รัก ข้าอยู่ที่ไหน?’ เธอร้องไห้

เจ้าชายตอบด้วยความยินดีว่า “เจ้าอยู่กับข้า” และเขาก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง พร้อมเสริมว่า “ข้ารักเจ้ามากกว่าใครๆ ในโลกกว้าง เจ้าจะมากับข้าที่วังของพ่อของข้าและเป็นภรรยาของข้าไหม?”

สโนว์ดรอปยินยอมและไปกับเขา และการแต่งงานก็ได้รับการเฉลิมฉลองด้วยความเอิกเกริกและยิ่งใหญ่

ตอนนี้แม่เลี้ยงที่ชั่วร้ายของสโนว์ดรอปก็เป็นหนึ่งในแขกที่ได้รับเชิญไปร่วมงานแต่งงาน เมื่อเธอแต่งตัวงดงามมากสำหรับโอกาสนี้ เธอก็เดินไปที่กระจกแล้วพูดว่า:

'กระจก กระจก แขวนอยู่ที่นั่น

ใครบ้างที่งดงามที่สุดในแผ่นดินนี้?

มันก็ตอบเสมอว่า:

'ท่านงดงามที่สุดราชินี นายหญิงของข้า

แต่สโนว์ดรอปนั้นงดงามกว่าท่านมาก'

เมื่อหญิงชั่วได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ก็สาปแช่ง และความเดือดดาลก็อยู่เคียงข้างเธอและความอับอายก็ด้วย ตอนแรกเธอไม่อยากไปงานแต่งงานเลย แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกว่าเธอจะไม่มีความสุขเลยจนกว่าเธอจะได้เห็นราชินีสาว เมื่อเธอเข้าไป สโนว์ดรอปก็จำเธอได้ และเกือบจะหมดสติไปด้วยความกลัว แต่รองเท้าเหล็กร้อนและแดงได้เตรียมไว้สำหรับราชินีผู้ชั่วร้าย และเธอก็ถูกสั่งให้สวมมันเข้าไป และเต้นรำจนล้มและขาดใจตายในท้ายที่สุด

– THE END –
เส้นแนวนอน



นิทานคลาสสิก มาใหม่

หนาวนี้..อ่านนิทานอะไรดี? | นิทานคลาสสิก ประจำ ฤดูหนาว

THE BLUE FAIRY BOOK Contents THE BRONZE RING ♔ [แหวนทองแดง] PRINCE HYACINTH AND THE DEAR LITTLE PRINCESS ♔ [เจ้าชายไฮยาซินธ์และเจ้าหญิงตัวน้...